Tech&Tips

Tech&Tips
(1.)เทคนิคการตัดภาพพื้นหลังด้วยคฑาวิเศษ โดยโปรแกรมPhotoshop


1. เปิดโปรแกรม Photoshop จากนั้นไปที่ File -->Open
           
2. เลือกภาพที่ต้องการเพื่อนำมาตัดพื้นหลัง เมื่อเลือกได้แล้ว คลิกที่ภาพ กดปุ่ม Open
3. ทำการ copy ภาพ ขึ้นมาอีกหนึ่งเลเยอร์ ไปที่ Layer -->Duplicate Layer
           


4. ตั้งชื่อเลเยอร์ กดปุ่ม OKและจะได้เลเยอร์ที่เหมือนกันมาอีกหนึ่งเลเยอร์ เพื่อป้องกันภาพต้นฉบับเสียหาย
           
              
จากนั้นทำการปิดตาที่เลเยอร์ Background
 
           


5. เลือกเครื่องมือที่จะนำมาใช้ตัดภาพ ซึ่งวิธีการตัดภาพวัตถุออกจากพื้นหลังนั้น มีเครื่องมือหลายชนิดให้เลือกใช้ สำหรับวันนี้ขอแนะนำ เครื่องมือ  Magic Wand Tool เครื่องมือนี้เอาไว้สำหรับเลือกพื้นที่ของภาพ
คลิกเมาส์ซ้ายหนึ่งครั้ง ที่รูปเครื่องมือ Magic Wand Tool
           


6. ปรับค่า Tolerance ตามต้องการ ซึ่งการปรับค่านี้ต้องพิจารณาจากรูปภาพของเราด้วย หากภาพที่นำมาใช้มีสีของพื้นหลังและสีของวัตุที่ตัดกันไม่มาก ก็ควรกำหนดค่า Tolerance ให้สูงๆ ในที่นี้ผู้เขียนเลือกปรับที่ 100


จากนั้นคลิกหนึ่งครั้งลงในพื้นที่พื้นหลังของภาพที่เราต้องการจะตัดออก
7. จากนั้นกดปุ่ม Delete ภาพพื้นหลังก็จะหายไป


เพียงเท่านี้ เราก็สามารถตัดวัตถุออกจากพื้นหลังได้แล้วล่ะค่ะ


8. เราลองเอาภาพที่ตัดได้ มาลองใช้งานกันดีกว่า โดยเลือกวิธีการนำวัตถุที่ตัดได้นั้น ไปใส่ในภาพอื่น 
เปิดภาพที่เราต้องการลากไปใส่ขึ้นมา File-->Open
 


9. ใช้เครื่องมือ Move Tool ในการย้ายภาพที่เราตัดภาพหลังเรียบร้อยแล้ว ไปยังภาพอีกภาพหนึ่งที่เราต้องการจะย้ายไป
 
           


10. คลิกเมาส์ซ้ายค้างไว้แล้วทำการลากดอกทานตะวัน ไปใส่อีกภาพหนึ่งที่เราต้องการย้ายไป


ภาพผลลัพธ์ที่ได้เป็นดังนี้


(2.)เทคนิคการเลือก Hosting
เว็บโฮสติ้ง คือ บริการให้เช่าพื้นที่ รับฝากเว็บไซต์บนเว็บเซิร์ฟเวอร์ โดยปกติแล้วการที่จะมีเว็บไซต์ได้นั้น จะต้องมีระบบเว็บเซิร์ฟเวอร์เป็นของตนเอง อย่างไรก็ตามการที่ทุกเว็บไซต์ต้องติดตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ จะต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการติดตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่สูงมากและต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลระบบตลอดเวลา การใช้งานแบบนี้จะเหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ และธุรกิจที่มีงบประมาณมาก การติดตั้งเซิร์ฟเวอร์เป็นของตนเอง สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว การมีเว็บไซต์ในลักษณะนี้จะถือว่าเป็นการลงทุนที่สูงเกินไปทำให้มีผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งเข้ามาสนับสนุนระบบเว็บเซิร์ฟเวอร์ให้กับผู้ที่ต้องการมีเว็บไซต์ โดยผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งหรือ Hosting Service Provider จะให้บริการรับฝากเว็บไซต์ให้กับองค์กรขนาดกลางและเล็กพร้อมทั้งให้บริการดูแลด้านระบบเว็บเซิร์ฟเวอร์ให้กับเว็บไซต์ที่มาใช้บริการ เพื่อให้สามารถออนไลน์ได้ตลอดเวลา ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งจะคิดค่าบริการจากค่าเช่าพื้นที่
ราคาของเว็บโฮสติ้งขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล เจ้าของเว็บไซต์ต้องพิจารณากำหนดขนาดพื้นที่เว็บไซต์ของตนว่าควรมีขนาดเท่าใดและควรมองไปถึงโอกาสการขยายพื้นที่ในอนาคต การคำนวณขนาดพื้นที่เว็บไซต์ที่ต้องการใช้การประมาณจาก จำนวนหน้าของเว็บไซต์ที่ต้องการ เช่นต้องการ 50 หน้า และประมาณการว่าแต่ละหน้าประกอบด้วยเนื้อหาและรูปภาพจำนวนเท่าไร ตามปกติเนื้อหาจะใช้พื้นที่ไม่มากแต่รูปภาพจะใช้พื้นที่มาก หากต้องการมีรูปภาพแต่ละหน้า 10 รูป รวมทั้งเว็บไซต์มี 500 รูป แต่ละรูปให้มีขนาดภาพไม่เกิน 100KB (เพียงพอสำหรับการทำเว็บไซต์ให้สวยงาม และแสดงผลได้เร็ว) จึงใช้พื้นที่รวม 50MB เมื่อเผื่อพื้นที่สำหรับเนื้อหาและการขยายในอนาคตอีก 1 เท่า จึงประมาณการพื้นที่รวม 100MB เป็นต้น
ปริมาณข้อมูลที่รับ – ส่ง หรือ Bandwidth หมายถึงข้อมูลการรับ – ส่ง ระหว่างผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งตามปรกติแล้ว ปริมาณข้อมูล Bandwidth จะไม่แน่นอน ดังนั้นจึงควรเลือกผู้ให้บริการที่ไม่จำกัด Bandwidth แต่ราคาจะสูงกว่ารายที่จำกัด Bandwidth พิจารณาจาก Application ต่าง ๆ ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งบางราย มีข้อจำกัดในเรื่องการใช้ Application บนเว็บไซต์ ดังนั้น จึงต้องพิจารณาว่า Applicationที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องการนำมาพัฒนาเว็บไซต์นั้น สามารถใช้ได้กับเว็บโฮสติ้งรายใดบ้าง พิจารณาความเร็วในการรับ – ส่งข้อมูล เว็บโฮสติ้งที่ดีจะต้องสามารถรับ – ส่ง ข้อมูลได้รวดเร็ว และรองรับการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทั้งใน และต่างประเทศได้ พิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ ซึ่งมีความสำคัญมาก โดยผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งที่มีคุณภาพจะคอยดูแลเว็บไซต์ที่อยู่บนเว็บโฮสติ้งนั้นให้มีจำนวนที่เหมาะสม และผู้ใช้เว็บไซต์สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา ด้วยความรวดเร็ว

ระบบสำรองข้อมูล เว็บโฮสติ้งที่ดีจะต้องมีระบบสำรองข้อมูล เพื่อป้องกันกรณีฉุกเฉิน ที่ก่อให้เกิดความเสียหายของข้อมูลในเว็บไซต์ การสำรองข้อมูลตามปรกติจะพิจารณาจากความถี่ในการเก็บข้อมูล และรูปแบบเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น สำรองข้อมูลทุกวันแบบครบทุกข้อมูลหรือสำรองข้อมูลทุกวันในบางข้อมูล หรือ สำรองข้อมูลทุกเดือนในบางข้อมูล เป็นต้น

โดเมนเนม ปรกติแล้วการให้บริการเว็บโฮสติ้ง มักคิดค่าให้บริการโดเมนเนมรวมไปด้วย จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะนำมาพิจารณาเปรียบเทียบเพราะหากไม่รวมค่าบริการโดเมนเนม ผู้ใช้บริการเว็บไซต์จะต้องเสียค่าบริการโดเมนเนมเพิ่ม

ระบบอีเมล ตามปรกติแล้ว เจ้าของเว็บไซต์จะสร้าง หรือไม่สร้างอีเมลของระบบเว็บไซต์ก็ได้ แต่การมีทีมีอีเมลของระบบเว็บไซต์ตนเองย่อมสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่าการใช้ฟรีอีเมล ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ชื่อ abc.com หากเจ้าของเว็บไซต์สร้างระบบอีเมลของตนเองก็สามารถใช้ชื่อ email เป็น info@abc.com หรือ sale@abc.com ฯลฯ ตามความต้องการของเจ้าของเว็บไซต์ ราคาของ hosting ขึ้นกับจำนวน email account ที่ต้องการและพื้นที่รวมของ email account ทั้งหมด

ปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น เป็นสิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ควรจะพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการเว็บโฮสติ้งกับผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งรายใด นอกจากนั้น จะต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการว่าจะสามารถดูแลระบบได้อย่างดีหรือไม่เนื่องจากมีผู้ให้บริการรายใหม่ ๆ ที่ไม่ได้ทำธุรกิจอย่างจริงจังเข้ามาในตลาดจำนวนมาก ค้นหาผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง ได้จากการ search คำว่า Web hosting หรือคำใกล้เคียงกันใน Search Engine


(3.)เทคนิคการทำ SEOเบื้องต้นที่ควรรู้(reloaded) 

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimizer นั้นเป็นการทำให้โครงสร้างข้อมูลภายในเว็บของเราที่บรรจุอยู่ใน HTML ของเรา และพวก URL ของเรานั้น มีความหมายและทำให้ Crawler (ซึ่งต่อไปจะขอเรียกเป็น Search Engine เพื่อให้เข้าใจตรงกัน) นั้นสามารถเข้ามาเก็บข้อมูลในเนื้อหาของเราได้ง่าย และตรงกับความต้องการให้ได้มากที่สุด
ซึ่งโดยปกติแล้วจะแนะนำให้ใช้ XHTML ร่วมกับ CSS โดยที่ XHTML นั้นเป็นส่วนที่ใช้สำหรับใส่ข้อมูลและมี Tag พวก XHTML ต่าง ๆ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเนื้อหาให้น้อยที่สุด โดยมีแต่ส่วนที่กำหนดพื้นที่สำหรับแสดงผลต่าง ๆ เป็นชื่อที่สื่อความหมาย โดยใช้พวก <div> และ <span> แล้วกำหนดพื้นที่ของ Layout ด้วยชื่อที่กำหนดใน id หรือ class และโยนหน้าที่การกำหนด Layout ต่าง ๆ ไปที่ CSS ทั้งหมด เพื่อลดขนาดของไฟล์ HTML ที่ตัว Search Engine จะดึงไปเพื่อทำการ Parse ข้อมูลออกมา ทำให้ Search Engine ใช้เวลาประมวลผลต่าง ๆ ลดลงได้มากด้วย แถมลด B/W ลงไปได้เยอะมาก ๆ ในกรณีที่เว็บของเรานั้นมี Priority ในการเข้ามา index ข้อมูลของ Search Engine สูง ๆ
เทคนิดง่าย ๆ แต่ได้ผลนั้นผมสรุปจาก Best and Worst practices for designing a high traffic website อีกทีครับ
  1. ใส่ Keywords หลัก ๆ ลงบน Title เพราะเป็นพื้นที่ที่ระบบ Search Engine ใช้ในการเข้ามา index ข้อมูลอันดับแรก ๆ
  2. ใช้ tag Heading (พวก <h*></h*> ต่าง  ๆ) ให้เป็นประโยชน์เพื่อให้ Search Engine นั้นเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ๆ ในส่วนนี้ก่อนเสมอ เพราะ Search Engine จะมองว่า Heading เป็นเหมือนหัวหลักของเนื้อหาเพื่อนำไปใช้สรุปเนื้อหาตอนค้นหาต่อไป
  3. ใช้ alt, title, id, class และพวก caption ต่าง ๆ ที่ใช้อธิบายข้อมูลนั้น ๆ เพราะ Search Engine ไม่เข้าในว่ารูปภาพ หรือข้อมูลพวก Binary ต่าง ๆ ว่ามันคืออะไร
    เช่น <img src=”dog.jpg” alt=”Dog jumping into the air” />
  4. ใช้ META Tag ถึงแม้ว่า META Tag จะเป็นเทคนิคเก่า ๆ นับตั้งแต่มี WWW แต่ก็เป็นการดีที่เราควรจะมีไว้ เพราะ Search Engine ยังคงใช้ข้อมูลนี้เพื่อการจัดอับดับข้อมูลของเรา ในกรณีที่ข้อมูลในหน้านั้น ๆ มีมากเกินไป
  5. ใช้ Sitemap โดยการสร้าง Sitemap นั้นมีเครืองมือให้ใช้อยู่มากมาย และยิ่งใช้พวก CMS/Blogware ต่าง ๆ พวก Drupal, Wordpress, XOOP, Joomla/Mambo, PHP-nuke ฯลฯ ก็มี module/component/plug-in เข้ามาช่วยสร้าง Sitemap ให้แทบทั้งนั้น โดยประโยชน์ของ Sitemap นั้นช่วยให้ตัว Search Engine นั้นไม่ต้องวิ่งไต่ไปตามลิงส์ต่าง ๆ ของเว็บของเราเพื่อเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด และยิ่งเว็บมีขนาดใหญ่และซับซ้อนมาก ๆ ยิ่งทำให้หน้าที่อยู่ในส่วนของรากลึก ๆ ต้นไม้ที่เป็นลำดับของลิงส์นั้นเข้าถึงยาก การมี Sitemap จึงช่วยในการบ่งบอกกับ Search Engine ได้ว่าเว็บของเรามีหลายอะไรอยู่บ้าง เพื่อให้ตัว Search Engine เข้ามา Index ข้อมูลได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น
  6. ทำ URL Friendly หรือ Rewrite URL การทำ URL Friendly นั้นช่วยให้ Search Engine เข้าใจ URL ของเราและทำให้การเก็บ URL และแสดงผล URL เพื่อลิงส์กลับมาหน้าต่าง ๆ ของเว็บเรานั้นทำได้ง่ายมากขึ้น